ข่าวชาวสงขลานครินทร์

ก้าวใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลง วิสัยทัศน์นายกสภาฯ กับทิศทางอนาคตของ ‘สงขลานครินทร์’




“นายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ถือเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเหนือสิ่งอื่นใดคือภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยของเราไปสู่ความก้าวหน้าและความเป็นเลิศในทุกมิติ”

พูดคุยกับ ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว หลังได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ซึ่งพร้อมที่จะขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ไปสู่ความก้าวหน้า และเป็นที่ยอมรับของสังคมในวงกว้าง



• บทบาทหลักของสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

: สิ่งสำคัญเลยคือ การดำเนินงานในทุกเรื่องต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เช่น การวางนโยบาย หรือแม้แต่การกำกับการดำเนินงาน อันนี้ถือเป็นส่วนหนึ่ง และอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เราจะต้องช่วยกันในการที่จะนำมหาวิทยาลัยไปสู่แนวหน้า ซึ่งต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มจากการพัฒนาตัวเราเองก่อน โดยการนำคำสอนของพระราชบิดา “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” มาใช้กับการทำงานและการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น ในการทำงานเราต้องนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นอันดับแรก และเมื่อคิดว่าเราทำอะไรเพื่อผู้อื่นแล้ว ผมคิดว่านี่แหละคือคุณค่าของมหาวิทยาลัยที่จะได้รับการยอมรับในสังคม รวมถึงในระดับประเทศและระดับนานาชาติ



• จุดแข็งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

: จุดแข็งสำคัญ 4 ประการของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่สามารถต่อยอดเพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการศึกษาได้คือ 1. ทรัพยากรบุคคล คือบุคลากรทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุนของเราที่มีความสามารถ มีคุณธรรม และมีศักยภาพสูง ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัย 2. ภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทะเล ชายฝั่ง ป่าเขา และพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้สามารถใช้เป็นฐานในการเรียนการสอน วิจัย และพัฒนาชุมชนได้อย่างหลากหลายและครบวงจร 3. ความร่วมมือระหว่างวิทยาเขต ทั้ง 5 วิทยาเขต ได้แก่ หาดใหญ่ ปัตตานี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และตรัง มีความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งจะช่วยเสริมพลังการพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นระบบ และ 4. เป้าหมายร่วมของทุกภาคส่วน บุคลากรทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันคือ การพัฒนามหาวิทยาลัยให้ก้าวหน้า และได้รับการยอมรับในระดับสังคมและนานาชาติ โดยจุดแข็งทั้ง 4 ประการนี้ หากพัฒนาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จะส่งผลให้มหาวิทยาลัยก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงในอนาคต



• แนวทางการทำงานเพื่อให้ ม.อ. เป็นมหาวิทยาลัยที่ก้าวทันยุคสมัย

: ประการแรก นโยบายของมหาวิทยาลัยจะต้องสอดคล้องกับทิศทางของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดทำแผนของมหาวิทยาลัยให้สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเสริมสร้างความสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ และเป็นฐานสำคัญในการขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณในอนาคต ต่อมาคือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องวิเคราะห์ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทั้งในพื้นที่ ภาค ประเทศ และในระดับโลก เพื่อให้นโยบายการเรียนการสอน หลักสูตร วิจัย และบริการวิชาการต่างๆ ตอบโจทย์ปัญหาที่แท้จริงของพื้นที่ได้ รวมถึงการลงพื้นที่สร้างองค์ความรู้ โดยมหาวิทยาลัยควรเป็นที่พึ่งของชุมชน คณาจารย์จากคณะต่างๆ จะต้องช่วยกันลงพื้นที่ให้ความรู้ ส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชน และสุดท้ายคุณค่าที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยจะเกิดขึ้น เมื่อชุมชนเห็นประโยชน์จากการมีอยู่ของมหาวิทยาลัย เช่น การเพิ่มรายได้ การพัฒนาอาชีพ และการช่วยเหลืออย่างแท้จริง เป็นต้น



• กำหนดเป้าหมายเพื่อให้ ม.อ. บรรลุสู่ความเป็นระดับชาติและนานาชาติ

: ผมมองภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยมีอยู่ 4 เรื่องสำคัญคือ 1. พัฒนาคนหรือการสร้างบัณฑิต เราต้องพัฒนาบัณฑิตของเราให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณธรรม และที่สำคัญคือสามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือคนอื่นหรือสังคมได้จริง 2. การทำวิจัย เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงไปศึกษาค้นคว้า ไปหาโจทย์ในพื้นที่ว่าประชาชน เกษตรกร หรือคนในพื้นที่ใกล้เคียงประสบปัญหาอะไร ต้องการให้แก้ปัญหาอะไร เช่น ถ้าเขามีปัญหาเรื่องการเกษตร เราก็ไปนำเอาความรู้จากงานวิจัยมาช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ 3. การบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยควรทำหน้าที่เป็นคลังสมองของสังคม โดยนำความรู้ไปถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะการยื่นมือช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบาง เป็นต้น 4. การอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี มุ่งส่งเสริมให้นักศึกษาเรียนรู้และภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ เพื่อให้สามารถสื่อสารความเป็นอัตลักษณ์ในเวทีระดับชาติและนานาชาติได้อย่างเข้าใจ ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จะบรรลุสู่ความเป็นระดับชาติและนานาชาติได้ โดยการมุ่งผลิตบัณฑิตที่มีคุณธรรม ความรู้ และความสามารถ เพื่อตอบโจทย์สังคมอย่างแท้จริง ทำงานวิจัยจากโจทย์ปัญหาของชุมชนและประเทศเพื่อนำไปใช้ประโยชน์และต่อยอดเชิงพาณิชย์ ให้บริการวิชาการอย่างทั่วถึงกับทุกภาคส่วน พร้อมกับอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นสู่สากล เมื่อบัณฑิตมีคุณภาพ งานวิจัยถูกใช้จริง และเมื่อมหาวิทยาลัยได้รับการยอมรับจากสังคม ก็จะเป็นเครื่องสะท้อนความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ระดับชาติและนานาชาติอย่างยั่งยืน



• แนวทางในการส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรมที่โดดเด่นของ ม.อ.

: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ทั้ง 5 วิทยาเขต ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากร โดยเฉพาะยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ งานวิจัยที่เน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรเหล่านี้ เช่น ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากยางพารา ซึ่งเป็นจุดเด่นของ ม.อ. รวมถึงการวิจัยด้านสมุนไพร ทรัพยากรทางทะเล และการเกษตรอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในเรื่องการเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ภาคเอกชน ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยก็ได้จัดตั้ง PSU Holding Company เพื่อผลักดันงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

• ม.อ. จะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน

: มหาวิทยาลัยต้องเริ่มปรับตัวจากภายใน โดยบุคลากรทุกระดับต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน เราจึงจำเป็นต้องหันมาใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวที่ลดการปล่อยคาร์บอนตามเป้าหมายของภาครัฐ อีกทั้งในสถานการณ์ที่รายได้จากรัฐมีแนวโน้มลดลง มหาวิทยาลัยต้องยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งการลดรายจ่ายและสร้างรายได้ใหม่ๆ ขณะเดียวกันการทำงานร่วมกันอย่างมีความเข้าใจ เปิดใจรับฟัง และการหารือระหว่างคณะทำงานกับผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนามหาวิทยาลัยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน



• ฝากอะไรถึงบุคลากร นักศึกษา รวมถึงศิษย์เก่าของ ม.อ.

: สิ่งแรกเลยคืออยากให้รู้สึกภูมิใจในความเป็น ‘สงขลานครินทร์’ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ โดยตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ม.อ. ผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกมารับใช้สังคม ทั้งในแวดวงราชการ การเมือง และภาคเอกชน รวมถึงผลิตผลงานวิจัยที่สร้างคุณูปการให้กับชุมชนและประเทศชาติอย่างมากมาย สุดท้ายขอฝากให้บุคลากรทุกระดับตระหนักถึงความสำคัญของตนในฐานะส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัย โดยขอให้ร่วมมือกันทำงานอย่างเป็นครอบครัว มีความเข้าใจและสนับสนุนกัน เพราะเมื่อมหาวิทยาลัยแข็งแรง ความดีงามก็จะส่งต่อไปยังสังคมภายนอกได้อย่างภาคภูมิในที่สุด